หน้าต่างแต่ละแบบมักมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เราจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ หน้าต่างที่นิยมใช้มี 5 แบบด้วยกัน เรามาพิจารณาข้อดีและข้อจำกัดของหน้าต่างแต่ละแบบกันเลยครับ
หน้าต่างบานเลื่อน มีลักษณะเรียบไปกับผนังบ้าน ทำให้ไม่เสียพื้นที่ในการเปิดปิดหน้าต่าง ซึ่งเหมาะกับบ้านที่ต้องการความเรียบสบายตาด้วยบานที่เปิดกว้างและรูปลักษณ์ที่หรูหรา แบบบานเลื่อนมีทั้งบานเลื่อนเดี่ยว บานเลื่อนคู่ และบานเลื่อนสลับซ้ายขวา มาพร้องกับรางสำหรับบานมุ้งกันแมลง เหมาะสำหรับหน้าต่างห้องทั่วไป
บานเลื่อนที่เลื่อนได้ง่าย มีน้ำหนักเบา ประหยัดพื้นที่ บานเปิดขนาดใหญ่ทำให้เห็นวิวกว้างขึ้น
เปิดได้เพียงครึ่งเดียวของความกว้างช่องหน้าต่าง
หน้าต่างบานกระทุ้ง มีลักษณะการเปิดโดยดันจากด้านล่างของบานออกไป สามารถปรับองศาการเปิดได้ 6 ระดับ ช่วยเพิ่มแสงจากธรรมชาติ การไหลเวียนของลม และปกป้องบ้านสวยจากความชื้นภายนอกโดยไม่ละเลยความเป็นส่วนตัว นิยมใช้ทำเป็นหน้าต่างระบายอากาศ และหน้าต่างที่ไม่ต้องการเปิดกว้างมากนัก เช่น ห้องน้ำ และช่องแสงส่วนบนของผนัง
ในขณะที่เปิดบาน ตัวบานจะทำหน้าที่เป็นกันสาดในตัว และหากเป็นบานทึบช่วยกันแสงแดดจากด้านบนอีกด้วย
ไม่ควรทำบานหน้าต่างขนาดใหญ่ เพราะน้ำหนักมาก ทำให้เปิดปิดยากและเปิดค้างไว้ไม่ได้
หน้าต่างบานเปิด มีลักษณะบานเปิดออก เป็นรูปแบบหน้าต่างที่นิยมกันมาตั้งแต่อดีต สามารถเปิดหน้าต่างได้ถึง 90 องศา บานเปิดช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติ เพื่อการไหลเวียนของลม โดยเฉพาะห้องที่ทิศทางลมมาด้านข้าง มีทั้งบานเปิดเดี่ยวและบานเปิดคู่ เหมาะสำหรับหน้าต่างห้องทั่วไป
รับแสงรับลมเต็มที่ทุกบาน ดีกว่าหน้าต่างแบบอื่น
ในขณะเปิดบานจะกินพื้นที่บริเวณด้านนอกบ้าน จึงต้องมีพื้นที่ด้านนอกให้เปิดหน้าต่างได้
หน้าต่างบานตาย มีลักษณะบานหน้าต่างที่เปิดไม่ได้ เน้นบานขนาดใหญ่เพื่อให้แสงสว่างผ่านและเปิดมุมมองภายในบ้านให้กว้างขึ้น มีรูปแบบให้เลือกหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทรงกลม ทรงยุโรป ทรงโค้ง Fixed R-Type เหมาะกับการทำเป็นช่องแสงบริเวณที่เปิดไม่ถึง เช่น บริเวณโถงบันได ผนังกระจกสูง หรือผนังกระจกเข้ามุม
ไม่มีอุปกรณ์เสริมจึงมีการซ่อมบำรุงน้อย อายุการใช้งานยาวนาน ไม่มีปัญหาจุกจิก
ต้องคำนึงถึงชนิดและความหนาของกระจก ให้เหมาะสมกับขนาดความกว้างยาวของหน้าต่าง